ผู้ฆ่าและผู้ถูกฆ่า คุณเลือกอย่างไร ตอน ๑
ผู้ฆ่าและผู้ถูกฆ่า คุณเลือกอย่างไร ตอน ๑
ชีวิตเราเกิดมาพร้อมกับความตาย เกิดหนหนึ่ง ตายหนหนึ่งเท่านั้น ความซ้ำซ้อนในการเกิดและการตายในอัตภาพเดียวมิได้มี
คำถามคือ ผู้ฆ่ากับผู้ที่ถูกฆ่าคุณจะเลือกอย่างไร ถ้าคุณจะตกเป็นฝ่ายที่ถูกฆ่า คุณต้องไม่เลือกการถูกฆ่าอย่างแน่นอนใช่ไหม แต่ถ้าให้คุณเป็นฝ่ายฆ่าปลิดชีวิตหรือทำลายล้างคนอื่นเขา แน่นอน คุณผู้ชูป้ายมโนธรรมสำนึกจอมปลอมที่กลวงเปล่า ความกล้าหาญไม่มีแม้แต่ในความคิดก็ไม่เลือกทำอย่างนั้นอีกเหมือนกัน แต่ถ้าถามว่า ผู้ฆ่าไม่ปลอดภัยในสัมปรายภพเบื้องหน้า หลังจากปลิดชีวิตคนอื่นอย่างโหดร้ายป่าเถื่อนตายแล้วไปตกนรกหมกไหม้หลาย พันปีเป็นอันมาก กับผู้ที่ถูกฆ่าโดยเฉพาะผู้เป็นพระสงฆ์ทรงศีลทรงกัลยาณธรรม เมื่อถูกปลิดชีพสิ้นชีวิตแล้วก็ไปเกิดในสุคติสรวงสรวรรค์หลายพันปีเป็นอัน มาก และยังจะได้ไปสู่สุคติภูมิสูงยิ่งขึ้นไป กระทั่งถึงโลกุตรภูมิพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด คุณจะเลือกอะไรระหว่างผู้ฆ่ากับผู้ถูกฆ่า
ตามที่ข้าพเจ้ามานั่งพิมพ์บทความธรรมะ (ข้าพเจ้าให้ธรรมะอยู่) เกี่ยวกับเรื่องพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทยในรัฐธรรมนูญอยู่นี้ (วันนี้ก็ต้องสละเวลาอีก) มิได้มีเจตนาไปหักล้างทำลายฝ่ายมุสลิมเลย แม้ทราบดีว่า ชาวมุสลิมสามารถผนึกกำลังกลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้เป็นอย่างดี แต่ก็มิได้ชั่วช้าสามานย์ไปทั้งหมด มุสลิมคนดีมีจิตใจอ่อนโยนก็ยังมีอยู่ มิพึงติเรือทั้งโกลน ข้าพเจ้ามีจิตเจตนาอนุเคราะห์ประโยชน์เกื้อกูลแก่ชาวมุสลิมเสียมากกว่า นั่นคือข้าพเจ้าปรารถนาสร้างรั้วรอบขอบชิดให้แก่พระพุทธศาสนาเข้าไปอยู่ใน รัฐธรรมนูญเป็นศาสนาประจำชาติไทยอย่างเป็นทางการโดยนิตินัย เพื่อป้องกันมิให้ชาวมุสลิมรุกล้ำก้ำเกินอาณาเขตของพระพุทธศาสนามาเบียด เบียนทำลายกระทั่งเข่นฆ่าประชาชนชาวพุทธผู้บริสุทธิ์ เพราะจะเป็นบาปมหันต์ติดตามตัวชาวมุสลิมไป พวกเขาจะไม่ปลอดภัยในสัมปรายภพเบื้องหน้าต้องตกนรกหมกไหม้หลายพันปีเป็นอัน มากอย่างแน่นอน
ข้าพเจ้าเชื่อในเรื่องกรรมและวิบากกรรมอย่างชัดเจนว่า อาณาเขตพื้นที่ที่ใครชนกลุ่มใดก็ตาม รุกล้ำแย่งชิงได้มาด้วยการเข่นฆ่าป่าเถื่อนโหดร้าย ทารุณ อาณาเขตพื้นที่นั้นจะไม่มีวันสงบสุขร่มเย็นได้เลย สุดท้ายผืนแผ่นดินนั้นก็ต้องลุกเป็นไฟเผารนเร่งร้อนกลุ่มชนผู้มีความรุนแรง อยู่ภายในกมลสันดานให้เข่นฆ่าประหัตประหารกันเสียเอง สงครามศาสนาภายในพวกเขานั่นเองจะเกิดขึ้น มุสลิมนิกายซีอ่ะก็ทำสงครามกับมุสลิมนิกายซุนหนี่กันแล้วมิใช่หรือ
ข้าพเจ้าเขียนไว้อย่างนี้ มิได้หมายความว่าข้าพเจ้ามีมโนธรรมสำนึกเมตตาอารีย์สูงส่ง ปราศจากความหวาดกลัว ยอมได้แม้กระทั่งนั่งนิ่งให้เขามาบั่นคอทิ้ง เหมือนภิกษุชาวนาลันทาในอดีต แต่ข้าพเจ้าเขียนตามโลกัตถจริยาความประพฤติประโยชน์เกื้อกูลต่อชาวโลกอย่าง งดงามของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระบรมศาสดาพระองค์นั้นเสด็จพุทธดำเนินไปด้วยพระบาทเปล่าสิ้นระยะทาง ๒๐๐-๓๐๐ โยชน์ เพื่อแสดงธรรมโปรดทุคตบุรุษชายยากจนข้นแค้นคนหนึ่งซึ่งมีอุปนิสัยที่จะได้ ดวงตาเห็นธรรมทันที เมื่ออริยสัจจะธรรมเทศนาจบลง พุทธองค์ทรงทราบดีว่า ถ้าเขาตายไปพร้อมกับความเป็นปุถุชนคติแห่งสัมปรายภพที่ไปในเบื้องหน้าของเขา จะไม่แน่นอนปลอดภัย เขาทำได้ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ขึ้นสวรรค์และตกนรกได้อีก แต่ถ้าเขาตายไปพร้อมกับความเป็นอริยชนโสดาบันบุคคลก็จะปลอดภัยในสัมปรายภพ เขาจะทำแต่กรรมดีกุศลกรรมอย่างเดียว ปิดอบายภูมิได้สนิท และที่สำคัญ "โพธิปรายโน" เขาจะมีความตรัสรู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์หมดสิ้นกิเลสอาสวะเป็นที่ไปในเบื้อง หน้าอย่างแน่นอน
สมัยที่อุตตรมาณพลูกพี่ลูกน้องของอุบลวรรณาภิกษุณีแอบหลบซ่อนอยู่ภายใน กระท่อมน้อยชายป่าออกมาข่มขืนกระทำชำเราอุบลวรรณาภิกษุณี ขณะที่พระเถรีถูกข่มขืนกระทำชำเราอยู่นั้นกล่าวอย่างไร ท่านกล่าวว่า "อย่าฉิบหายเลย เจ้าคนพาล อย่าฉิบหลายเลย เจ้าคนพาล" ครั้นชายหนุ่มอุตตรมาณพสำเร็จกิจของตนแล้วเดินออกไปจากกระท่อม พอพ้นสายตาของพระเถรีอรหันตขีณาสพท่านมองไม่เห็นเท่านั้น อุตตรมาณพก็ถูกธรณีสูบให้ไปตกหมกไหม้อยู่ในอเวจีมหานรกทันที
แม้ถูกข่มขืนทำร้ายถึงขนาดนั้น แต่อุบลวรรณาภิกษุณีก็ยังกล่าวว่า "อย่าฉิบหายเลยเจ้าคนพาลๆ" นั่นคือการกล่าวออกมาจากเมตตาจิตที่ทราบว่าหายนะความพินาศย่อยยับจะเกิดแก่ อุตตรมาณพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การออกมาเขียนชี้แจงแสดงความจริงเรื่องพระพุทธศาสนาบัญญัติเป็นศาสนาประจำ ชาติไทยในรัฐธรรมนูญนี้ (ข้าพเจ้ามิได้โน้มน้าว พระเราต้องชี้แจงแสดงตามธรรมตามความจริง มิใช่โน้มน้าวให้เขาเชื่อหรือเห็นคล้อยตามตน ความจริงจะตัดสินได้ด้วยตัวของมันเอง) เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชาวมุสลิมนั่นเองที่จะไม่กระทำบาปกรรมกับชาวพุทธ บริสุทธิ์และจะประสบกับหายนะความพินาศย่อยยับในอนาคตอย่างแน่นอน
ข้าพเจ้าพูดความจริง มิได้พูดให้กลัว.